“เกรียงไกร”นั่งประธานส.อ.ท.คนใหม่ เล็งผุด 1 อุตฯ 1 จังหวัดดันศก. เปิดชื่อกรรมการทั้งชุดที่นี่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 เม.ย. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้จัดให้การเลือกตั้งประธาน ส.อ.ท.คนใหม่ แทนนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ที่หมดวาระลง จากกรรมการผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวม 363 คน แบ่งเป็น กรรมการประเภทเลือกตั้ง 242 คน (มาจากเลือกตั้งผู้แทนสมาชิกสามัญฯเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 และกรรมการประเภทแต่งตั้ง 121 คน มาจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม รวมกับ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด ผลการเลือกตั้งพบว่า นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธาน ส.อ.ท.คนใหม่ นับเป็นประธานคนที่ 16 วาระดำรงตำแหน่ง 2 ปี 2565-2567  

นายเกรียงไกร กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ตนมุ่งเน้น การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมเพื่อประเทศไทยที่แข็งแกร่งกว่าเดิม เนื่องจากภาคการผลิตถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคส่งออกซึ่งคาดว่าปี 2565 จะเติบโต 5-10% จากปีที่ผ่านมาที่การส่งออกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แต่ก็ยังมีความท้าทายที่การแข่งขันในเวทีโลกยังเพิ่มสูงขึ้น จึงมุ่งเน้นให้ ส.อ.ท.เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ ONE F.T.I. มีเป้าหมายร่วมกันที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จด้วยกัน  

“เรามีสมาชิก 1.4 หมื่นบริษัท 45 กลุ่ม 11 คลัสเตอร์ และ ส.อ.ท.76 จังหวัด เราต้องทำงานกันเป็นทีมเดียวกัน โดยมุ่งขับเคลื่อน 45 กลุ่มอุตสาหกรรมเดิมให้เดินหน้าต่อ และวางเป้าหมายพัฒนา Next Gen Industry ทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) BCG ฯลฯ เหล่านี้ต้องส่งเสริมเพื่อให้ก้าวทันโลก” นายเกรียงไกร กล่าว  

สำหรับแนวทางการพัฒนาหลักๆ อาทิ ส.อ.ท.จะเร่งพัฒนาและยกระดับให้วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)มีความเข้มแข็งทั้งการพัฒนาการตลาด เทคโนโลยี ฯลฯ ขณะเดียวกันยังจะผลักดันให้เกิดการพัฒนา 1 อุตสาหกรรม 1 จังหวัดโดยทาง ส.อ.ท.แต่ละจังหวัดจะไปหารือทางจังหวัดนั้นๆ แล้วกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายในการพัฒนาโดย ส.อ.ท.จะดึงศักยภาพของ 45 กลุ่มอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมยกระดับและพัฒนา รวมถึงมุ่งการพัฒนาโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture Industry) หรือ SAI ที่จะนำร่อง SAI In The City ที่ กทม.โดยเน้นการทำ Plant Based ซึ่งเป็นอาหารที่จะทำจากพืชเพื่อทดแทนเนื้อสัตว์ ฯลฯ โดยโครงการนี้จะสอดรับกับนโยบาย BCG โมเดล เป็นต้น  

อย่างไรก็ตาม อนาคตภาคอุตสาหกรรมไทยยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและชิ้นส่วนดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นคงด้านห่วงโซ่การผลิต ส.อ.ท.จะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อที่จะร่วมพัฒนาการผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า

นายเกรียงไกร กล่าวว่า สิ่งที่ ส.อ.ท.กังวลขณะนี้คือ ระดับราคาน้ำมันดีเซลที่กำลังจะสูงขึ้นที่จะสะท้อนไปยังต้นทุนค่าขนส่งวันที่ 1 พ.ค. ให้ต้องปรับขึ้นนั้นจะเป็นแรงกดดันต่อระดับราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกและจะส่งผลต่อภาวะอัตราเงินเฟ้อทั่วไปให้สูงขึ้นอีก ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เดือน พ.ค.นี้ จะมีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวเพื่อหารือร่วมกัน  

“ปกติสต๊อกสินค้าจะมีอยู่ 3-6 เดือนตอนนี้ยอมรับว่าสต๊อกเริ่มหมดลงและขณะนี้เกิดความต้องการเทียมขึ้นด้วยคนไปซื้อตุน แต่สต๊อกใหม่วัตถุดิบและต้นทุนที่สูงจึงมีราคาแพงราคาสินค้ายอ่มต้องปรับขึ้นแต่จะขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม และภาวะตลาดเป็นสำคัญ เราจึงมองว่าหากดีเซลจะขยับก็ขออย่าขยับแรงจนช็อคขอให้ขึ้นเป็นขั้นบันได” นายเกรียงไกร กล่าว  

ส่วนรายชื่อคณะกรรมการ ส.อ.ท.ชุดใหม่ มีดังนี้ คำพูดจาก pg เว็บตรง

Related Posts